โรคใบติดมักระบาดอย่างรุนแรงในช่วงที่ต้นทุเรียนกำลังแตกใบอ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูฝน สภาพอากาศที่มีความชื้นสูง ทรงพุ่มที่หนาแน่นทึบ และการระบายอากาศไม่ดี เป็นปัจจัยเร่งให้เชื้อราเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว เชื้อราจะเข้าทำลายใบอ่อนที่เพิ่งคลี่ออก ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่อ่อนแอต่อการเข้าทำลายที่สุด
ปัญหา “โรคใบติด” ภัยเงียบในช่วงแตกใบอ่อนของทุเรียน
โรคใบติด (Rhizoctonia Leaf Fall/Leaf Blight) ถือเป็นปัญหาสำคัญที่คุกคามสวนทุเรียน โดยมีสาเหตุมาจากเชื้อรา Rhizoctonia solani
ผลกระทบต่อต้นทุเรียนและผลผลิต
แม้ว่าโรคใบติดจะไม่ทำให้ต้นทุเรียนตายในทันที แต่ก็ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อสุขภาพของต้นและผลผลิตในระยะยาว ผลกระทบหลัก ได้แก่:
- การสูญเสียพื้นที่สังเคราะห์แสง : เมื่อใบอ่อนถูกทำลาย จะเกิดแผลคล้ายถูกน้ำร้อนลวก จากนั้นเชื้อราจะสร้างเส้นใยยึดใบที่อยู่ใกล้เคียงให้ติดกันเป็นกลุ่มหรือเป็นแผง (ที่มาของชื่อ "ใบติด") ในที่สุดใบที่เสียหายจะร่วงหล่นลงมา ทำให้ต้นทุเรียนสูญเสียใบไปเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการสังเคราะห์แสงลดลงอย่างรุนแรง
- ต้นทรุดโทรมและกิ่งแห้งตาย : การสูญเสียใบซ้ำ ๆ ทำให้ต้นทุเรียนอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง ต้นจะทรุดโทรม ไม่สามารถสร้างอาหารมาเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้เพียงพอ และอาจส่งผลให้กิ่งใหญ่ ๆ แห้งตายเป็นหย่อม ๆ
- ผลกระทบต่อผลผลิต : ต้นทุเรียนที่ทรุดโทรมจากโรคใบติดย่อมไม่สามารถให้ผลผลิตที่ดีได้ ทั้งในแง่ของปริมาณผลที่ลดลง และคุณภาพของผลที่แย่ลง เนื่องจากต้นไม่มีพลังงานเพียงพอในการบำรุงผลให้สมบูรณ์ได้เต็มที่
อาการเริ่มแรกของโรคใบติด จะพบแผลคล้ายถูกน้ำร้อนลวกบนใบ
ต่อมาแผลขยายตัวและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ขนาดและรูปร่างไม่แน่นอน
จากนั้นลุกลามไปยังใบปกติข้างเคียง
ถ้ามีความชื้นสูงเชื้อราสาเหตุโรคจะสร้างเส้นใยมีลักษณะคล้ายใยแมงมุมยึดใบให้ติดกัน
ใบที่เป็นโรคจะไหม้ แห้ง และหลุดร่วงไปสัมผัสกับใบที่อยู่ด้านล่าง โรคจะลุกลามทำให้ใบไหม้เห็นเป็นหย่อมๆ
ใบแห้งติดกันเป็นกระจุกแขวนค้างตามกิ่ง ต่อมาใบจะร่วงจนเหลือแต่กิ่ง
และกิ่งแห้งในที่สุด ทำให้ต้นเสียรูปทรง
👉แนวทางป้องกัน/แก้ไข
1. ช่วงการตัดแต่งกิ่ง
ตัดแต่งกิ่งให้เหมาะสมและมีทรงพุ่มโปร่ง
เพื่อให้ทุเรียนได้รับแสงแดดและอากาศถ่ายเทได้ดี เป็นการลดความชื้น
ทำให้สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมต่อการระบาดของโรค
2. ในแปลงปลูกที่มีความชื้นสูงและมีการระบาดของโรคเป็นประจำ
ไม่ควรใส่ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง เพื่อลดการแตกใบ
3. หมั่นตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ
หากพบโรค ตัดส่วนที่เป็นโรคและเก็บเศษพืชที่เป็นโรคและใบที่ร่วงหล่น
นำไปทำลายนอกแปลงปลูก และพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืช ซึ่งมีหลายชนิดให้เลือกใช้ เช่น
- คอปเปอร์ไฮดรอกไซด์ 77% WP อัตรา 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
- คอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ 85% WP อัตรา 30-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
- คอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ 65.2% WG อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
- คิวปรัสออกไซด์ 86.2% WG อัตรา 10-20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
- คอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ + คอปเปอร์ไฮดรอกไซด์ 24.6% (14% copper metal) + 22.9% (14% copper metal) WG อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
- เฮกซะโคนาโซล 5% SC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
- เพนทิโอไพแรด 20% SC อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
- ฟลูไตรอะฟอล 12.5% SC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
- ทีบูโคนาโซล + ไตรฟลอกซีสโตรบิน 50% + 25% WG อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
- โทลโคลฟอส-เมทิล 50% WP อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
ระยะเวลาการฉีดพ่นต่อเนื่องทุก 7
วัน โดยพ่นที่ใบให้ทั่วทั้งต้น
อ้างอิง : กรมวิชาการเกษตร